ทัวร์แอฟริกา โมรอคโค สวนจาร์ดีน มาจอแรล ป้อมไอท์ เบนฮาดดู ทะเลทรายซาฮาร่า 10 วัน 7 คืน สายการบินกัลฟ์ แอร์

16.00 น. หัวหน้าทัวร์รอต้อนรับที่ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตูทางเข้าที่ 6 แถว M เคาน์เตอร์สายการบินกัลฟ์ แอร์ (GF)
19.15 น. บินสู่ สนามบินนานาชาติบาห์เรน โดยเที่ยวบิน GF 153
22.55 น. ถึง สนามบินบาห์เรน เพื่อเปลี่ยนเที่ยวบิน
01.45 น. บินสู่ สนามบินคาซาบลังก้า โดยเที่ยวบิน GF 143
07.30 น. ถึง สนามบินคาซาบลังก้า (โมร็อกโก) ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร
เดินทางสู่ เมืองมาราเกช (Marakesh) (ระยะทาง 245 กม. / 3.30 ชม.) โดยข้ามส่วนที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอตลาส ถ่ายภาพทิวเขาและภาพถนนที่คดเคี้ยวบนเทือกเขาแอตลาส เมืองมาราเกช (Marakesh) ในอดีตคือเมืองโอเอซิสเป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมร็อกโก เป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าที่นำสินค้าจากทางตอนใต้ไปขายยังยุโรปและนำสินค้าจากทางเหนือผ่านเทือกเขาแอตลาสไปยังทะเลทรายซาฮาร่าไปทางตอนใต้และยังเป็นอดีตเมืองหลวงในหลายช่วงเวลาอีกด้วย
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารไทย
บ่าย เที่ยวชมบรรยากาศของเมืองมาราเกรซ เช่น สวนจาร์ดีน มาจอแรล (Jardin Majorelle) หรือ สวนยิปแซงลอเร้นซ์ (Yves Saint Laurent Gardens) เป็นชื่อที่คุ้นเคยของสาวๆ ที่ชื่นชอบแฟชั่นสุดหรูของ Yves St. Laurent นักออกแบบแฟชั่นดีไซน์ชื่อดังแห่งฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นของเศรษฐีชาวมาราเกรช ต่อมาในช่วงที่โมร็อกโกตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ยิปแซงลอเร้นซ์ เดินทางมาที่โมร็อกโกเพื่อพักผ่อนหลังจากเคร่งเครียดจากงานออกแบบแฟชั่นโชว์ ได้เกิดความหลงใหลในเมืองแห่งนี้และซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นที่พักผ่อน ชมสวนที่ถูกออกแบบโดยการใช้สีสันสดใส ฉูดฉาด เช่น สีน้ำเงิน และ สีส้ม เป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเสา แจกัน และชมการจัดวางพรรณไม้ทะเลทรายนานาชนิดที่จัดได้อย่างสวยงามลงตัว
• เข้าชม พระราชวังบาเฮีย (Bahia Palace) เป็นพระราชวังของมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa สถาปัตยกรรมเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุด สร้างขึ้นและตั้งชื่อวังตามชื่อของภรรยาผู้เป็นที่รักและมีรูปโฉมที่งดงามของท่านมหาอำมาตย์ คือ นางบาเฮีย พระราชวังแห่งนี้มีการตกแต่งด้วยปูนปั้นแกะสลัก (Stucco) บนเพดานและบานประตูมีการวาดลายโดยใช้สีธรรมชาติบนไม้สนซีดาร์และผนังประดับด้วยโมเสกเป็นลวดลายที่สวยงาม ชมสวนในบ้านซึ่งเป็นสไตล์ริยาด (Riad) ประกอบไปด้วยลานกลางบ้านซึ่งประดับด้วยน้ำพุและสวนไม้ดอก ไม้ประดับ ตามสไตล์การแต่งบ้านแบบโมร็อกโก
• สัมผัสประสบการณ์ย้อนอดีตสู่ยุคโบราณ นั่งรถม้าชมเมืองมาราเกช เมืองที่ผู้มีชื่อเสียงจากทั่วโลก ต้องการมาอยู่ ณ เมืองแห่งนี้ อย่างเช่น สุเหร่าคูโตเบีย (Kutobia Mosque) ที่มีหอคอยสูง ถึง 70 เมตร สร้างในสมัยราชวงศ์อัลโมฮัด
• เดินเล่น จัตุรัสกลางเมือง Jemaa El Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมร็อกโกขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า (Old Market) อย่างเพลิดเพลิน
ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหาร
ที่พัก KECH BOUTIQUE HOTEL 4* หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
เดินทางสู่ เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou) (ระยะทาง 182 กม. / 3 ชม.) เมืองที่อาคารต่างๆ สร้างจากดิน มีชื่อเสียงในการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมร็อกโก
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหาร
บ่าย เที่ยวชมบรรยากาศของ เมืองไอท์ เบนฮาดดู เช่น ป้อมทาอูเริท (Kasbah Taourirt) พระราชวังของผู้ปกครองเมืองมาราเกซ ตระกูลกลาวี (Glaoui Palace) ที่สร้างขึ้นจากดิน ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆ จำนวนมากเพื่อรองรับคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคน รวมถึงฮาเร็มและสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินเล็กๆ ผนังภายในห้องต่างๆ ตกแต่งด้วยลวดลายที่สวยงามหลากหลายรูปแบบสถาปัตยกรรมตามสไตล์ของชาวเบอร์เบอร์ ที่ออกแบบและแบ่งพื้นที่เป็นส่วนต่างๆ เช่น วังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรองต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง ซึ่ง UNESCO ได้บูรณะขึ้นมาใหม่จากอาคารดั้งเดิมที่เหลือเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด
• เข้าชม ป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Haddou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ ปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี ค.ศ. 1987
เดินทางสู่ เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) (ระยะทาง 30 กม. / 30 นาที) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่แห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยว แวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การขี่มอเตอร์ไซด์ การขี่อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย เนื่องจากอยู่ใกล้กับภูเขาแอตลาสที่มีหิมะปกคลุม ในช่วงฤดูหนาว–ฤดูใบไม้ผลิ (ช่วงเดือน พ.ย.–เม.ย.) ทำให้อากาศจึงเย็นสบาย เมืองนี้จึงเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความผจญภัยที่แตกต่างและหาไม่ได้จากที่ไหน
ค่ำ รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก OSCAR HOTEL BY ATLAST STUDIO HOTEL 4 * หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
เดินทางสู่ เมืองมากูน่า (M’Gouna) (ระยะทาง 95 กม. / 1.30 ชม.) เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องกุหลาบและมีจัดเทศกาลกุหลาบในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ... แวะชมผลิตภัณฑ์จากกุหลาบที่ขึ้นชื่อของเมือง เช่น น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ รวมถึงเครื่องสำอางค์ต่างๆ
เดินทางสู่ เมืองทินเฮียร์ (Tinerhir) (ระยะทาง 75 กม. / 1.15 ชม.) ชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกันท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ ลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูกต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากเมืองวอซาเซท
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
บ่าย เดินทางสู่เมือง เออร์ฟูด์ (Erfoud) (ระยะทาง142 กม. / 1.30 ชม.) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกา
• นั่งรถ 4x4 สู่ทะลทรายซาฮาร่า เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) (ระยะทาง 54 ก.ม. / 45 นาที) ผ่านภูเขาหินที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลของหอยและแมงกะพรุนโบราณ เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อนดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเล และต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมาจึงมีซากฟอสซิลซ่อนตัวอยู่มากมาย ระหว่างทางชมบรรยากาศความสวยงามของ ทะเลทรายซาฮาร่า (Sahara Desert) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตเพราะฝนตกน้อยมากและไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ มนุษย์จึงต้องหาวิธีใช้ชีวิตให้อยู่รอดในสภาพอากาศที่สุดขั้วเช่นนี้ (รถสามารถนั่งได้คันละ 4 ท่าน, กรุณาจัดกระเป๋า overnight bag และของใช้เสื้อผ้าสำหรับ 1 คืน)
• สัมผัสบรรยากาศ ขี่อูฐชมดูพระอาทิตย์ตกดิน (Sunset) (อูฐ 1 ตัวต่อท่าน)
ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ที่พักกลางทะเลทราย
พัก YAKOUT LUXURY CAMP 5 * ลักซูรี่เต๊นท์ (มีห้องน้ำในตัว) ในทะเลทรายซาฮาร่า หรือเทียบเท่า
อิสระสัมผัสบรรยากาศยามเช้า ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทรายที่สวยงามน่าประทับใจ ณ บริเวณที่พัก
เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
เดินทางสู่ เมืองเออร์ฟูด์ (Erfoud) โดยรถ 4x4 จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถโค้ช เดินทางต่อสู่ เมืองมิเดลท์ (Midelt) (ระยะทาง 209 กม. / 3 ชม.) เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแอตลาส เป็นศูนย์กลางการค้า การทำเหมืองแร่ของโมร็อกโก ตั้งอยู่บนระดับความสูงที่ 1,508 เมตร (4,948 ฟุต) ทำให้กลายเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สูงที่สุดในโมร็อกโก
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหาร
เดินทางสู่ เมืองอิเฟรน (ระยะทาง 136 กม. / 2 ชม.) เป็นเมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า “เจนีวาแห่งโมร็อกโก” หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมร็อกโก” บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม
• เดินเล่นชมบรรยากาศภายในเมืองอิเฟรน เช่น อนุสรณ์สิงห์โตหิน สัญลักษณ์แทนสิงโตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้
เดินทางสู่ เมืองเฟส (Fes) (ระยะทาง 70 กม. / 1 ชม.) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟ เป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและมีเสน่ห์อันน่าประทับใจ เมืองหลวงเก่าในช่วงศตวรรษที่ 8 ที่มีความความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนา
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารโรงแรม
ที่พัก ATLAS SAISS HOTEL 4 * หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
• เที่ยวชมบรรยากาศของ เมืองเฟส เช่น ประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร็อกโก บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ ชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่งเป็นพ่อค้าผูกขาดการค้าเกลือ ซึ่งปัจจุบันนี้ยังมีชาวยิวที่อาศัยในย่านนี้อยู่บ้าง,
เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินา ผ่านประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 โดยใช้โมเสกสีฟ้าตกแต่ง เมื่อเข้าในเขตเมดิน่าแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต มีทั้งตลาดสดขายข้าวปลาอาหาร ผัก ผลไม้สดต่างๆ ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยเล็กๆ กว่า 9,400 ซอย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. จนถึงกว้างสุด 3 เมตร โดยแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็กๆ ที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) จะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าจะได้พบกับ น้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด,
สุสานของกษัตริย์ มูเล ไอดริสที่2 (Moulay Idriss Mausolem II) ชาวโมร็อกโกเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญศักดิ์สิทธิ์ โดยชายชาวมุสลิมจะมาขอพรก่อนการเข้าสุหนัตและหญิงสาวชาวมุสลิมมักจะมาขอพรเพื่อให้ได้บุตร,
สุเหร่าใหญ่ไคเราอีน (Kairaouine Mosque) ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัยสอนศาสนาแห่งแรกของโมร็อกโกและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหาร
บ่าย ชมบรรยากาศย่านเครื่องหนัง และ ชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณประจำเมืองเฟส (Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟสที่ถูกอนุรักษ์โดย UNESCO จึงเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง
ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารจีน
ที่พัก ATLAS SAISS HOTEL 4 * หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
เดินทางสู่ เมืองโวลูบิลิส แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอยความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต เมืองแห่งนี้มีความสำคัญอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 3 และล่มสลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 ต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี ค.ศ. 1997
เดินทางสู่ เมืองเมคเนส (Meknes) (ระยะทาง 33 กม. / 40 นาที) อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์จอมโหดและชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง จึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มีกำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. มีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1996
• ชมบรรยากาศของ เมืองเมคเนส เช่น ประตูบับมันซู (Bab Mansour Monumental Gate) เป็นประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสกและกระเบื้องสีเขียวสดบนผนังสีแสด
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหาร
เดินทางสู่ นครสีฟ้า เชฟชาอูน (Chefchaouen) (ระยะทาง 197 กม. / 3.45 ชม.) เมืองที่ได้ชื่อว่า มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโก เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain หรือ Er-Rif) ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ด้วยอาณาเขตที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก จึงทำให้ภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนคล้ายตอนใต้ของอิตาลีและสเปน มีประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 540 ปี ในอดีตก่อนที่โมร็อกโกจะได้รับเสรีภาพในการปกครองประเทศทั้งหมดในปี ค.ศ. 1956 เคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อนและยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย เมืองเชฟชาอูน ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยเฉพาะสีฟ้า เพราะว่าเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ ประกอบกับอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้
ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก DAR ECHCHAOUEN HOTEL 4 * หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก
เดินทางสู่ เมืองราบัต (Rabat) (ระยะทาง 250 กม. / 4 ชม.) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก หลังโมร็อกโกหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1956 เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตจากต่างแดน
• เที่ยวชมบรรยากาศของ เมืองราบัต เช่น สุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกา(ปู่) ของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน (โมฮัมเหม็ดที่ 6) มีทหารยามยืนเฝ้าทุกประตูและเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสานคือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 บนพื้นที่ 183 x 139 เมตร ที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จและเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1755 เหลือเพียงเสาจำนวน 365 ต้นจนถึงปัจจุบัน,
ป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่ยึดครองโมร็อกโก ด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปนและเป็น เมดิน่า หรือ ชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า-ขาว บรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี นับเป็นหนึ่งป้อมปราการสำคัญของโมร็อกโกที่ใช้ป้องกันการรุกรานจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม
กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหาร
เดินทางสู่ เมืองคาซาบลังก้า (ระยะทาง 87 กม. / 1 ชม.) คำว่า “คาซา” แปลว่า บ้าน และ “บลังก้า” แปลว่า สีขาว เมืองที่คนทั่วโลกรู้จักมากกว่าราชอาณาจักรโมร็อกโก นอกจากจะเป็นเมืองท่าและที่ตั้งสนามบินระหว่างประเทศแล้วยังถูกใช้เป็นฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง Casablanca (โดยที่ไม่ได้ถ่ายทำในคาซาบลังก้า) เป็นเรื่องราวความรักระหว่างนายทหารอเมริกันและหญิงคนรัก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คาซาบลังก้าเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของโมร็อกโก
• เที่ยวชมบรรยากาศของ เมืองคาซาบลังก้า เช่น สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (HASSAN II MOSQUE) สร้างในปี ค.ศ. 1980-1993 ด้วยสถาปัตยกรรมสวยงามปราณีตแบบโมร็อกโก สร้างขึ้นในวาระเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษาของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ซึ่งเป็นพระบิดาของกษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 (กษัตริย์องค์ปัจจุบัน) เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สามารถจุผู้คนที่มาประกอบพิธีได้ 25,000 คน และภายนอกสุเหร่ารองรับได้อีก 55,000 คน
ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารไทย
พัก ONOMO CITY CENTER HOTEL 4 * หรือเทียบเท่า
05.30 น. รับอาหารแบบกล่อง ณ โรงแรมที่พัก
06.00 น. เดินทางสู่ สนามบินคาซาบลังก้า เพื่อเดินทางกลับ
10.00 น. บินสู่ สนามบินบาห์เรน โดยเที่ยวบิน GF 142
19.00 น. ถึง สนามบินบาห์เรน เพื่อเปลี่ยนเที่ยวบิน
22.45 น. บินสู่ สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเที่ยวบิน GF 152
09.15 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ
หมายเหตุ
**โปรแกรมการเดินทางและมื้ออาหารที่ระบุในโปรแกรม อาจจะมีการสลับปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับความเหมาะสมเป็นหลัก รบกวนแจ้งเซลล์ก่อนทำการจองทุกครั้งเพื่ออัพเดทโปรแกรม ณ ปัจจุบัน ในวันนั้นๆโดยจะคำนึงถึงประโยชน์ของผู้เดินทางเป็นสำคัญ**
***ในกรณีที่ลูกค้าต้องออกตั๋วโดยสารภายในประเทศ (เครื่องบิน ,รถทัวร์ ,รถไฟ) กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ เพื่อเช็คว่ากรุ๊ปมีการคอนเฟิร์มเดินทางก่อนทุกครั้ง เนื่องจากสายการบินอาจมีการปรับเปลี่ยนไฟล์ทบิน หรือเวลาบิน โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ทางบริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบใด ๆ ในกรณี ถ้าท่านออกตั๋วภายในโดยไม่แจ้งให้ทราบและหากไฟล์ทบินมีการปรับเปลี่ยนเวลาบิน เพราะถือว่าท่านยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว***
กำหนดการ : 30 เม.ย.-10 พ.ค. | ||
---|---|---|
ลักษณะการเข้าพัก | ราคาทัวร์ รวมตั๋ว(บาท/ท่าน) | ราคาทัวร์ ไม่รวมตั๋ว(บาท/ท่าน) |
ผู้ใหญ่ พักห้องคู่ ราคาท่านละ | 109,000 | - |
เด็ก พักกับผู้ใหญ่ 1 ท่าน ราคาท่านละ | 109,000 | - |
เด็ก พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน (มีเตียง) ราคาท่านละ | 109,000 | - |
เด็ก พักกับผู้ใหญ่ 2 ท่าน (ไม่มีเตียง) ราคาท่านละ | 109,000 | - |
ผู้ใหญ่ ต้องการพักห้องเดี่ยว ราคาท่านละ | 125,500 | - |
ผู้ใหญ่ 3 ท่าน พัก 1 ห้อง ราคาท่านละ | 109,000 | - |
เดือนเมษายน 68 | ผู้ใหญ่ | เด็ก | ||||
---|---|---|---|---|---|---|
วันที่เดินทาง | พักคู่ ท่านละ | พักเดี่ยว ท่านละ | พักสาม ท่านละ | เด็ก ท่านละ | มีเตียง ท่านละ | ไม่มีเตียง ท่านละ |
109,000 | 125,500 | 109,000 | 109,000 | 109,000 | 109,000 |